เมนู

พระนาคเสนจึงถวายพระพรว่า ฉันใดก็ดี สมเด็จพระมหากรุณาเจ้านี้เป็นพรหมจารี เหตุ
ว่ามีฌานเหมือนพรหม จะได้เป็นศิษย์พรหมหามิได้ เหมือนกับช้างที่ได้อุปมานั้น อนึ่งอาตมา
จะถามว่า มหาพรหมนั้นได้ตรัสรู้ด้วยตนเอง หรือไม่ได้ตรัสรู้ น่ะบพิตรพระราชสมภาร
พระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นธรณีมีพระราชโองการตรัสว่า มหาพรหมนั้นจะได้ตรัสรู้ด้วยตน
เองหามิได้
พระนาคเสนจึงถวายพระพรว่า ถ้ากระนั้นท้าวมหาพรหมก็เป็นศิษย์สมเด็จรพระผู้มี
พระภาค
พระเจ้ามิลินท์ปิ่นธรณีมีพระราชโองการตรัสว่า กลฺโลสิ พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนามานี้
สมควรแล้วนักหนา ในกาลบัดนี้
พรหมจารีปัญหา คำรบ 4 จบเท่านี้

อุปสัมปันนปัญหา ที่ 5


ราชา

สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ผู้เป็นปิ่นธรณีจึงมีพระราชโองการตรัสถามพระนาคเสน
ว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้ปรีชา อุปสมฺปทา อันว่าอุปสมบทนี้ดีหรือ หรือว่า
อนุปสมบทนี้ดี
พระนาคเสนมีเถรวาจาว่า มหาราช ขอถวายพระพรมหาบพิตรมหิศรด้วยอิสริยยศ
อุปสมบทนี้ดีกว่าอนุปสมบท ขอถวายพระพร
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นประชากรมีพระราชโองการตรัสถามว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่
พระนาคเสนผู้ปรีชาญาณ สมเด็จพระมหากรุณานี้เป็นอุปสมบทหรือ หรือว่า เป็นอนุปสมบทเล่า
ฝ่ายพระนาคเสนถวายพระพรว่า มหาราช ดูรานะบพิตรผู้เป็นมหิศรอันเลิศ สมเด็จ
พระมหากรุณาผู้ประเสริฐเป็นองค์อุปสมบท
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นอิสริยยศจึงตรัสประกาศให้ปรากฏแก่โยนกข้าพหลวงทั้งห้าร้อยว่า
โภนฺโต ปญฺจโยนกสตา ดูรานะโยนกข้าราชการผู้จำเริญทั้งห้าร้อยคอยฟังว่า อยํ นาคเสโน
พระนาคเสนนี้ว่าสมเด็จพระมหากรุณาเจ้าเป็นอุปสมบท สูชาวเจ้าจงกำหนดฟังไว้เป็นพยานใน
กาลบัดนี้

สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดี จึงมีพระราชโองการตรัสถามพระนาคเสนว่า ภนฺเต
นาคเสน
ข้าแต่พระนาคเสนผู้ปรีชาฉลาด ผู้เป็นเจ้าว่าสมเด็จพระบรมโลกนาถสมณโคดมเป็น
อุปสมบท เมื่อสมเด็จพระศรีสุคตอุปสมบทนั้น ใครเป็นอุปัชฌาย์ กรรมวาจา มีสงฆ์มานั่งหัตถ-
บาสเท่าไร นิมนต์วิสัชนาแก้ไขให้แจ้งก่อน
พระนาคเสนถวายพระพรว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร สมเด็จพระบรม-
โลกนาถปราศจากอุปัชฌายาจารย์ทีเดียวโสด พระองค์อุปสมบทใต้ควงไม้พระศรีมหาโพธิ
พร้อมด้วยพระสัพพัญญุตญาณ หาครุหาอาจารย์มิได้
พระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นทวีปเวียงชัย จึงมีพระราชโองการตรัสในทันทีว่า พระผู้เป็นเจ้าว่า
สมเด็จพระมหากรุณานี้ ไม่มีใครเป็นครุอุปัชฌาย์อาจารย์ ถ้ากระนั้นพระทศพลญาณสมณ-
โคดมบรมครูเจ้า ก็เป็นอนุปสมบท ไม่ได้เป็นอุปสมบท เหตุว่าไม่มีครูบาอาจารย์ ท่านอุปัชฌาย์
ที่ว่าจะบวชให้ก็ไม่มี จะว่าสมเด็จพระมหากรุณาเป็นอุปสมบทอย่างไร เอวํ วุตฺเต ในเมื่อพระเจ้า
มิลินท์ภูมิทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสฉะนี้
พระนาคเสนผู้มีอายุ อรหา เป็นพระอรหันตาธิบดี ปฏิสมฺภิทปฺปตฺโต มีพระญาณ
แตกฉานในปฏิสัมภิทา มิลินฺทราชานํ เอตทโวจ จึงเปรียบความถามพระเจ้ากรุงมิลินทราชโดย
โวหารว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรผู้ประเสริฐในศฤงคาร ทุกวันนี้บพิตรพระราชสมภาร
เสวยพระสุธาหารหรือหามิได้ น่ะพระราชสมภาร
พระเจ้ากรุงมิลินทราชมีพระราชโองการตรัสว่า อาม ภนฺเต เออ พระผู้เป็นเจ้า โยม
บริโภคอยู่
พระนาคเสนจึงถามว่า ก็ใครเป็นครูเป็นอาจารย์บอกให้เสวนพระสุธาหารเล่า
พระเจ้ากรุงมิลินท์จึงตอบว่า ภนฺเต ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ประเพณีกินข้างปลาโภชนาหาร
ใครจะเป็นครูอาจารย์สั่งสอนกัน
พระนาคเสนจึงมีเถรวาจาว่า ถ้ากระนั้นมหาบพิตรไม่เสวยพระสุธาหาร ด้วยครู
อาจารย์จะสอนให้เสวยนั้นไม่มี มหาบพิตรนี้ก็ไม่เสวยพระสุธาหาร
สมเด็จพระกรุงมิลินท์ภูมินทราธิบดีพระราชโองการตรัสว่า ภนฺเต นาคเสน ข้า
แต่พระนาคเสนผู้มีปรีชาญาณ ลักษณะจะกินโภชนาหาร ใครจะเป็นอุปัชฌาย์อาจารย์กันเล่า
ภนฺเต ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมนี้บริโภคอาหารด้วยอาเสวนะกระทำได้เองบริโภคเอง เป็น
อาเสวนะสำหรับสงสาร

พระนาคเสนถวายพระพรว่า ถ้ากระนั้นพระราชสมภารจงทราบพระญาณให้จงดีเถิด นี้
ก็สมเด็จพระภควันตบพิตรผู้ประเสริฐทรงสร้างบารมีบริบูรณ์ถ้วน 10 ทัศ ได้ตรัสอุปสมบทใต้
ควงไม้พระศรีมหาโพธิพร้อมด้วยพระสัพพัญญุตญาณเป็นอาเสวนะเป็นเอง ไม่มีครูอุปัชฌาย์
อาจารย์เหมือนพระราชสมภารเสวยสุธาหารเป็นอาเสวนะเป็นเอง สำหรับสงสารไม่มีครูอาจารย์นี้
เหตุดังนั้น สมเด็จพระบรมไตรโลกโมลี เมื่อสร้างพระบารมีถ้วน 10 ทัศแล้ว ก็ตรัสในควงไม้
พระศรีมหาโพธิ สำเร็จแก่พระสัพพัญญุตญาณ เป็นอาเสวนะด้วยพระองค์เอง หาอุปัชฌาย์
อาจารย์มิได้นี้ อัศจรรย์ก็บันดาลมีปรากฏในแผ่นธรณีนาคพิภพทุกแหล่งหล้าโลกบันลือลั่น
ชจฺจนฺธา จกฺขํ ปฏิลนฺติ คนตามืดหูหนวกหนักแต่ก่อนก็กลับกลายโอภาสเห็นแจ่มเจ้งจริงจัง
ที่หูหนวกหนักก็ได้ฟังเสียงสำเนียงต่าง ๆ ปีฐสปฺปิโน ที่ง่อยเพลียก็ขยับย่างเดินไปได้พร้อม
ุขุชฺชา ที่หลังค่อมคดนั้น ก็ยืนยันยืดตรงเป็นปรกติดีไปไม่ค่อมเข้า ชิฆจฺฉาปิปาสา อนึ่งเล่า
เปรตที่อดข้าวอดน้ำอยากอยู่เป็นกำลังนั้น ปฏิลภนฺติ ก็ได้บริโภคโภชนาหารอิ่มหนำสำราญ
รื่นชื่นสวาท สัตว์นรชาติที่อาฆาตจองเวรแก่กันมาช้านาน ก็ได้พรหมวิหารผูกเมตตาต่อกัน
เปตวิสเย วินสฺสนฺติ เปรตทั้งหลายก็อันตรธานหายจากเปรตวิสัย ของอันเป็นพิษนั้นไซร้ ก็
กลายเป็นน้ำอมฤตอันโอชา มุฬฺหคพฺภา อิตฺถิโย อันว่าสตรีทั้งหลายอันมีครรภ์อันหลงก็คลอด
ลูกง่ายดายสำเภาทั้งหลายที่ซัดไปในท้องทะเลลึกเล่า ก็กลับคืนเข้าท่าได้คนที่หลงทางเล่าก็ได้ทาง
ทุคันธชาติอันมีกลิ่นเหม็นต่าง ๆ ก็กลับหอมหวนยวนใน เพลิงในอเวจีนรกนั้นก็บันดาลดับ น้ำ
เค็มในทะเลก็กลายกลับบันดาลหวานวรารส ปพฺพตา อันว่าบรรพตภูมีศิขรินทร์ ก็ร้องก้องไปมา
น้ำในมหานทีทั้งห้าแถว ที่ไหลแน่วลงมหาสมุทรก็หยุดอยู่ อนึ่งหมู่ทิพยบุปผา ในท้องฟ้ามี
หลายพรรณเป็นอาทิ คือ จุณจันทน์สารภีพิกุลโกสุมมณฑารพทิพย์อันหอมหวาน ก็บันดาล
ตกลงมากระทำสักการบูชา สพฺเพ เทวา ฝูงเทพยเทวาทั้งปวง ก็โปรยปรายวิกสิตบุปผาทิพย-
บุษบาบานบูชา พฺรหฺมุโน อปฺโผเฏนฺติ ส่วนพรหมทั้งหลายยกพระกรตบพระหัตถ์ตรัสสาธุการ
วิมานพระจันทร์อันล้อมด้วยเดือนดาวในเวหา เหมือนจะลอยมากระทำสาธุการบูชาปางเมื่อ
สมเด็จพระมหากรุณาธิคุณโคดมโคตรอุปสมบทใต้ควงไม้พระศรีมหาโพธิสำเร็จ พร้อมด้วย
พระสร้อยสรรเพชญดาญาณในกาลครั้งนั้น
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสว่า อาราธนาพระผู้เป็นเจ้า
จงกระทำอุปมาให้โยมสิ้นกังขาสนเท่ห์นั้นก่อน
พระนาคเสนจึงถวายพระพรว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร เวลามหา
บพิตรเสด็จทรงคอคชสาร จะมีใคร ๆ มาขี่พระศอพระองค์บ้างหรือประการใด

พระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นกษัตริย์ตรัสว่า ภนฺเต ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ไม่มี ถ้าใครจะมาขี่
คอโยมเวลานั้น สีสจฺเฉทํ ภเวยฺย ผู้นั้นจะต้องบั่นศีรษะ ศีรษะก็เด็ดออกไปในขณะนั้น
พระนาคเสนจึงถวายพระพรว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร บุคคลผู้ใดจะ
เข้ามาเป็นครูเป็นอาจารย์ขืนข่มให้สมเด็จพระมหากรุณาเจ้าอุปสมบทไม่ได้ มุทฺธา ตสฺส
ผเลยฺย
ศีรษะผู้นั้นก็จะแตกออกไปเป็นแม่นมั่น เหมือนกันกับบุคคลมาขี่พระศอมหาบพิตรนั้น
อนึ่งเล่า ตํ วเทสิ พระราชสมภารเจ้าถามว่า พระสงฆ์นั่งหัตถบาสเท่าไร ถามกระนี้หรือ
พระราชสมภาร
พระเจ้ากรุงมิลินท์มีพระราชโองการรับว่า จริงอยู่ พระผู้เป็นเจ้า โยมถามพระผู้เป็นเจ้า
พระผู้เป็นเจ้าจงวิสัชนาไป
พระนาคเสนจึงถวายพระพรว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภารผู้ประเสริฐใน
อิสริยยศ จะได้มีภิกษุสงฆ์อุปสมบทนั่งหัตถบาสหามิได้ เมื่อพระมหากรุณาเจ้าเข้าไปอุปสมบท
ใต้ควงไม้พระศรีมหาโพธินั้นโสด สมเด็จพระโคดมโคตรมีแต่ผลกับมรรคเป็นสงฆ์นั่งหัตถบาส
อนึ่ง พระราชสมภารเจ้าเข้าพระทัยว่า สงฆ์ ๆ นี้นั่งอย่างไรเล่า อ้อ จะขอวิสัชนาให้พระราช
สมภารเจ้าฟัง ภาสิตํปิ เหตํ ต้องด้วยพระพุทธฎีกาโปรดไว้เป็นบาทพระคาถาว่าฉะนี้
จตฺตาโร มคฺเค ปฏิปนฺโน จตฺตาโรว ผเล ฐิโต
เอส สงฺโฆ อุชุภูโต ปญฺญาสีลสมาหิโต

กระแสพระพุทธฎีกาตรัสว่า บุคคลผู้ใดตั้งอยู่ในปัญญาสมาธิและสีลสมาธิ มีจิตอันตรง
ดำรงอยู่ในมรรค 4 ผล 4 บุคคลผู้นี้แหละเรียกว่าสงฆ์ สิ้นกระแสพระพุทธฎีกาเท่านี้ ก็ที่ว่า
บวชอุปสมบทให้สงฆ์นั่งหัตถบาสทุกวันนี้ ก็สมมุติว่าสงฆ์ 8 จำพวกนี้ ขอถวายพระพร
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นประชากรก็สโมสร ซ้องสาธุการว่า สธุสะพระผู้เป็นเจ้ากล่าว
ปัญหาเปรียบนี้วิจิตรควรจะฟังเป็นอัศจรรย์ยิ่งนักหนา ตกว่าอุปสมบทนี้ดีกว่าอนุปสมบทแน่
แล้วซิ พระผู้เป็นเจ้า ประการหนึ่งว่า จะมีใครให้อุปสมบทแก่สมเด็จพระพุทธเจ้าบ้าง หรือว่า
หามิได้ นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนาไปให้แจ้งก่อน
พระนาคเสนจึงถวายพระพรว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร จะได้มีผู้ใดให้
อุปสมบทแก่สมเด็จพระผู้มีพระภาคอย่างพระองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แก่สาวก มิให้ประพฤติ
ล่วงตลอดชีวิตนั้น หามิได้

ฝ่ายสมเด็จพระเจ้ากรุงมิลินท์ภูมินทราธิบดี มีพระราชโองการตรัสว่า กลฺโลสิ ผู้เป็น
เจ้าวิสัชนานี้สมควรแล้ว
อุปสัมปันนปัญหา คำรบ 5 จบเท่านี้

อัสสุปัญหา ที่ 6


ราชา

สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสถามว่า ภนฺเต นาค-
เสน
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าพระนาคเสนผู้ปรีชา บุคคลมีน้ำตาตกด้วยไห้รักบิดามารดาอัน
กระทำกาลกิริยาตาย กับบุรุษที่ฝักฝ่ายในธรรมน้ำตาไหลด้วยใจเย็นยินดีนี้ ข้างไหนจะจัดว่า
เป็นเภสัชอันเลิศ
พระนาคเสนผู้ประเสริฐถวายพระพรว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร
บุคคลปริเทวนาการร่ำไห้ ด้วยราคะโทสะโมหะมีในสันดานอันเผานั้น เรียกว่าน้ำตาร้อน ประการ
หนึ่ง บุคคลมีจิตสโมสสวนาการฟังพระสัทธรรมเทศนานั้นมีน้ำตาไหลประกอบไปด้วยใจเย็น
ิยินดีดังนี้ นี่แหละเรียกว่าน้ำตาเย็น ก็น้ำตาเย็นนี้แหละจัดว่าเป็นเภสัชอันเลิศ เหตุจะให้ธรรม
อันประเสริฐเกิดเสวยสุขไปในอนาคตกาล พระราชสมภารพึงเข้าพระทัยด้วยประการดังนี้
ฝ่ายพระเจ้ากรุงมิลินท์ภูมินทราธิบดี มีพระราชโองการตรัสว่า กลฺโลสิ พระผู้เป็นเจ้า
กล่าวนี้สมควรแล้ว
อัสสุปัญหา คำรบ 6 จบเท่านี้